We met five years ago in Bangkok ... on an app. Ricky thought Justin had a kind of determination in his eyes; Justin was intrigued when Ricky described himself as "over-educated and under-paid." After some back and forth, we agreed to meet up … only to have a series of failed dates. First, Justin chose a restaurant famous for its flank steak (เสือร้องไห้), only to find out Ricky is a vegetarian. Ricky was stuck eating the only vegetables on the menu: fried pakoda. For our second date, Justin scoured the internet and found a great game -- Bus Roulette (you board the first bus at the station and go wherever it takes you). Which bus did we board? The one straight to Ricky's childhood neighborhood. Ricky had to take over the date and show Justin around. On our third try, a weekend trip to Chiang Mai, we got it right. Our first night in the city, we stayed up the whole night talking, it was as if neither of us wanted it to stop, and that's when it became clear this was something. While Justin almost slept through his conference the next day, that initial connection has continued to grow -- across countries and continents, through long-distance, new jobs, grad school, and life.
เรารู้จักกันผ่านทางอินเตอร์เน็ตเมื่อ 5 ปีก่อน เพราะรอยยิ้มและสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นของจัสตินทำให้ริกกี้ประทับใจ ในขณะที่จัสตินก็รู้สึกว่าริกกี้เป็นคนที่พิเศษ มีอะไรน่าค้นหาด้วยประโยคแนะนำตัว “over-educated and under-paid” ซึ่งประมาณว่า “การศึกษาสูงเสียดฟ้า แต่รายได้ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน” หลังจากที่คุยกันไปมาได้ซักพัก มันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เราตัดสินใจว่าจะต้องมาเจอหน้าเจอตากันเสียแล้ว แต่การออกเดทของเรานั้น ดูเหมือนอะไรอะไรมันก็ผิดที่ผิดทางไปเสียหมด! เดทแรก จัสตินตั้งใจเลือกร้านอาหารไทยรสแซ่บย่านอารีย์ เพราะคาดว่าน่าจะโดนใจคนไทยอย่างริกกี้เป็นแน่ (เมนูเด็ดของร้านคือเนื้อย่างเสือร้องไห้) โดยที่ไม่รู้มาก่อนว่าริกกี้เป็นมังสวิรัติ ซึ่งวันนั้นริกกี้ก็กินได้แค่ปอเปี๊ยะผัก ในขณะที่จัสตินฟาดเนื้อย่างอย่างเอร็ดอร่อย แต่จัสตินก็ไม่ละความพยายาม ในเดทที่สอง จัสตินขอแก้ตัว อาสาพาริกกี้ไปเที่ยวด้วยเกม Bus Roulette กฎคือเราจะต้องขึ้นรถเมล์คันแรกที่มาจอดป้าย ไม่ว่าจะเป็นสายอะไรก็ตาม ปรากฏว่ารถเมล์คันที่เราต้องขึ้นนั้นดันไปสุดสายใกล้ๆ บ้านริกกี้ เลยกลับกลายเป็นว่าริกกี้ต้องพาจัสตินเที่ยวเสียเอง เพราะจัสตินไม่รู้จักละแวกนั้น ด้วยความที่สองเดทแรกไม่เข้ารูปเข้ารอยอย่างที่จัสตินหวัง จัสตินเลยชวนริกกี้ไปเดทครั้งที่สามที่เชียงใหม่ สถานที่ที่เราทั้งคู่ชอบมากๆ คืนนั้นเรานอนคุยกันจนเช้า ริกกี้เล่าเรื่องการใช้ชีวิตช่วงที่ไปเรียนอยู่อเมริกา จัสตินก็เล่าเรื่องตลกๆ ที่เจอตอนมาอยู่เมืองไทยใหม่ๆ เราแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันหลายสิ่งหลายอย่าง จนเราทั้งคู่รู้สึกได้ว่าเราอาจจะเป็นอะไรได้มากกว่าแค่เพื่อน เพราะทุกอย่างมันช่างลงตัวไปหมด เสียอย่างเดียวคือจัสตินต้องนั่งสัปงกตลอดการสัมมนาในวันรุ่งขึ้น ที่สุดแล้วเราก็ตัดสินใจคบกัน แน่นอนว่ามันมีทั้งช่วงเวลาที่ดีและแย่ มีรอยยิ้ม มีเสียงหัวเราะ แต่ก็มีบางครั้งที่ทะเลาะกัน มีขึ้นเสียงใส่กัน หรือแม้กระทั่งทำให้อีกฝ่ายต้องมีน้ำตา...
We both knew we wanted to get married for almost a year before we got engaged, but as Justin started to plan the proposal, he didn’t want Ricky to suspect it was happening, so Justin started dropping false hints, for example that it would be outside, or somewhere that meant a lot to him. Ricky started to suspect the proposal might come every time they took a trip -- to Railay, to Nepal, to Colorado -- but it never came. Instead, Justin made up a fake meeting in Chiang Mai and asked Ricky if he would want to come up for the weekend afterwards. We go to Chiang Mai a lot, and often stay for a weekend after work meetings, so Ricky didn’t think much of it. On the day of the proposal -- February 16th, 2018, exactly 4 years after our first trip to Chiang Mai -- Justin flew up early for his ‘meeting’ (but really just to spend the day getting ready). Justin booked a room at Pak Chiang Mai, the same guesthouse we had stayed at on our first trip, and Ricky flew up after work and took a taxi to the guest house. Justin met him outside and led him through the main gates, where a candle-lit walkway led to the center of the garden and the rings. Realizing what was happening, Ricky was speechless, but Justin was so nervous he forgot to help Ricky take off his backpack (he is wearing the backpack in all the photos!). In the center of the garden, Justin stumbled over the proposal (even though he had been practicing all day), but Ricky was so in shock that he didn’t hear anything Justin said. As Justin knelt down and opened the ring box, Ricky had to lean down and whisper, “Wait, did you ask the question?” Justin repeated the question, more clearly on the second take, and there was an almost instantaneous “Yes!”, followed, in true Thai fashion, by a street food dinner of Pad Thai, Pad Gaprao, and Roti.
จัสตินวางแผนจะขอริกกี้แต่งงานที่เชียงใหม่เพียงไม่กี่เดือนก่อนหน้า เขาสร้างเรื่องขึ้นมาว่าต้องไปทำงานที่นั่นในกลางเดือนกุมภาพันธ์ จัสตินชวนริกกี้ให้ตามมาพักผ่อนที่เชียงใหม่ริกกี้ก็ตอบตกลงแบบไม่ได้คิดอะไรมาก (เชียงใหม่ก็คือเชียงใหม่ที่ที่เราไปเป็นประจำ ก็คงไม่มีอะไรพิเศษเหมือนเนปาลหรือโคโลราโดนั่นแหละ หึ!) และไม่แม้แต่จะสังเกตว่ามันเป็นวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2018 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 4 ปีที่เรามาออกเดทที่เชียงใหม่ด้วยกันครั้งแรกพอดิบพอดี! ในวันนั้น จัสตินรีบบินไปเชียงใหม่แต่เช้า เพื่อให้มีเวลาเหลือมากพอที่จะเตรียมงานสำคัญของเราในช่วงเย็นที่ ‘พัก เชียงใหม่’ เกสท์เฮาส์ที่เรามาด้วยกันครั้งแรก (และเป็นที่พักประจำของเราในคราวต่อๆมา) โดยบอกกับริกกี้แค่เพียงว่า ต้องไปให้ทันงานประชุมของเขา (แต่งเรื่องเก่งจังนะจัสติน) จัสตินขลุกอยู่แต่ในห้องเกือบทั้งบ่ายตั้งใจฝึกซ้อมประโยคภาษาไทยวนไปเวียนมา เพื่อที่จะพูดกับริกกี้และขอแต่งงาน ตกเย็น จัสตินออกไปดูความเรียบร้อยที่สวน ซึ่งประดับด้วยเทียนไขตั้งแต่ประตูทางเข้าเรื่อยมาตามทางเดินจนถึงเก้าอี้ยาวในสวน ซึ่งมีแหวนรายล้อมด้วยดอกไม้ตั้งอยู่ ทางเกสท์เฮาส์ได้ให้ความช่วยเหลือและร่วมมือเป็นอย่างดี ถึงขั้นปิดประตูเข้าออกทุกบานยกเว้นประตูหลักเพื่อเป็นทางเข้าเดียวให้ริกกี้เดินตามทางที่จัสตินวางไว้ ทันที่ที่ริกกี้ลงจากแท็กซี่ก็เห็นจัสตินรอรับที่หน้าเกสท์เฮาส์ และเขาเดินนำเข้าประตูไปตามทางเดินที่ส่องไสวไปด้วยแสงเทียน ทำให้ริกกี้ตื้นตันจนพูดไม่ออกเหมือนมีอะไรมาจุกที่ลำคอ เพราะไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าวันนั้นมันคือวันนี้ เรายืนนิ่งอยู่กลางสวนอันเงียบสงัด จัสตินเองก็ประหม่าไปไม่น้อยกว่ากันเพราะนอกจากลืมช่วยริกกี้ปลดเป้สะพายบ่าออกจากหลังแล้ว (ดูจากในรูปขอแต่งงานจะเห็นริกกี้สะพายอยู่) ก็ยังลืมคำพูดทุกสิ่งอย่างที่อุตส่าห์ซักซ้อมมาตลอดทั้งวัน! ในที่สุดจัสตินก็พูดอะไรบางอย่างออกมาแล้วหยุดนิ่ง คุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วถามริกกี้ด้วย’ประโยคสำคัญ’ แต่ริกกี้ที่ยังคงตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น (ซึ่งนั่นก็เป็นการดีเพราะว่าจัสตินพูดผิดๆถูกๆ ราวกับหนังคนละม้วนจากที่ซ้อมไว้) ริกกี้จึงค้อมตัวลงแล้วกระซิบกับจัสตินที่คุกเข่ารออย่างใจจดใจจ่อว่า “เดี๋ยวๆๆ นี่คุณถามแล้วหรอ?” จัสตินจึงถามซ้ำอีกรอบ ทันใดนั้นก็มีเสียงตอบ “ตกลง!” แทบจะทันที